เกี่ยวกับกลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอนคืออะไรและทำงานอย่างไร?
  กลูต้าไธโอน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เซลล์ร่างกายผลิตขึ้นมาเมื่ออยู่ในสภาวะเครียด อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น ได้รับสารพิษไม่ว่าจากสิ่งที่เรากินเข้าไปหรือยา ถูกแสงแดดมากเกินไป เป็นต้น
  จะขอยกตัวอย่าง เปรียบเทียบการทำงานของสารกลูต้าไธโอนดังนี้ โรงงานเมื่อผลิตสินค้าขึ้นมา ย่อมมีของเสียเกิดขึ้นและถ้าของเสียนี้ไม่ได้กำจัดทิ้งให้หมด ของเสียเหล่านี้ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คนในชุมชนไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยและมีผิวพรรณหมองคล้ำ เซลล์คนเราก็เช่นกัน เมื่อผลิตพลังงานออกมา ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น ของเสียที่เกิดขึ้นนี้ เราเรียกรวมๆ กันว่า อนุมูลอิสระ (FREE RADICALS) ซึ่งเมื่อสะสมมากขึ้นภายในเซลล์ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลง และมีช่วงอายุที่สั้นกว่าปกติ  แต่เซลล์ร่างกายคนเราก็มีกลไกป้องกันตนเอง ด้วยการผลิตสารขึ้นมาเพื่อทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราเรียกสารพวกนี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระ (ANTIOXIDANT) สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ ที่สำคัญมีอยู่ 2 ตัว ที่ออกฤทธิ์ได้แรงและมีประสิทธิภาพสูง ตัวแรกจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะต้องสังเคราะห์ภายในเซลล์เท่านั้น ตัวที่สองคือ กลูต้าไธโอน ซึ่งเซลล์สามารถสังเคราะห์ได้เองและมีอยู่ในอาหารบางประเภท เช่น เนื้อ นม ไข่ เป็นต้นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และเมื่ออายุคนเรามากขึ้น การสังเคราะห์สารทั้งสองตัวนี้ก็ลดลงตามไปด้วย
  เมื่อเราอยู่ในสภาวะเครียด อย่างในกรณีได้รับสารพิษสะสม, กินยาบางประเภท, การทำงานกลางแดดจัด, อดหลับอดนอน, ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่, ป่วยเรื้อรัง เช่น เป็นมะเร็งหรือโรคเอดส์ เป็นต้น สภาวะเหล่านี้ จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมากและมากกว่าที่สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะรับมือได้ อนุมูลอิสระที่เหลือรอดจากการถูกทำลายจำนวนมากนี้จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลงและเสื่อมเร็วกว่าปกติ  เราจึงพบว่า คนที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวจะมีสภาพซึมเซา ไม่สดชื่น อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เป็นมะเร็งได้ง่าย ผิวหน้าและผิวตัวหมองคล้ำ และที่สำคัญสารอนุมูลอิสระนี้จะไปเร่งการทำลายคอลลาเจนที่ผิวหนังให้เร็วขึ้น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมีผิวพรรณที่หย่อนยานและดูแก่กว่าวัยอันควร
  จากการศึกษาวิจัยพบว่า กลูต้าไธโอนจะเป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายในเซลล์ ที่มีประสิทธภาพ ส่วนวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายนอกเซลล์ เมื่อให้สารสองตัวนี้ร่วมกัน จะส่งเสริมฤทธิ์ของซึ่งกันและกัน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้สูงขึ้นเป็นทวีคูณ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ควรให้สารสองตัวนี้พร้อมกัน จะทำให้สุขภาพร่างกายสดชื่นขึ้นและผิวพรรณกระจ่างใสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กลูต้าไธโอนยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยให้ตัวอสุจิของผู้ชายแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคทางประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคอ่อนเพลียเรื้อรังดีขึ้น
  ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา มีการวิจัยด้วยการนำกลูต้าไธโอนมาใช้ควบคู่กับการรักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็ง พบว่าคนไข้เหล่านี้มีอาการทั่วไปดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้จะไม่ได้หายจากโรคที่เป็นอยู่ แต่อาการโดยรวมจะดีขึ้น โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นเอดส์ พบว่าสามารถยืดระยะเวลาที่แสดงอาการออกไปได้ และที่สำคัญพบว่า คนไข้เหล่านี้ นอกจากจะมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นแล้ว ยังมีหน้าตาสดชื่นและผิวพรรณแจ่มใสเป็นประกาย ต่างจากเดิมที่เป็นอยู่
  จากกรณีดังกล่าว จึงมีแพทย์บางท่านได้ทดลองนำกลูต้าไธโอนมาใช้ทางด้านผิวพรรณในคนปกติ พบว่าสามารถทำให้ผิวพรรณของคนเหล่านี้สดใสเป็นประกายสว่างไสว จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ดารามีชื่อแทบทุกคนจะฉีดยากลูต้าไธโอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สุขภาพของดาราเหล่านั้นดีขึ้นแล้ว ยังช่วงให้ผิวพรรณของพวกเขาเป็นประกายสว่างไสวอย่างโดดเด่นเวลาอยู่ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมาก


ความรู้เกี่ยวกับกลูต้าไธโอน (Glutathione) 
  กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง กลุ่มคลินิกเสริมความงามใช้เป็นสารผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว กลูต้าไธโอน เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine), กรดกลูตามิค (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และมีในอาหาร เช่น นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังนำมารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย

   หน้าที่หลักของสารดังกล่าวข้างต้นที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. Detoxification : กลูต้าไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
2. Antioxidant : กลูต้าไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูต้าไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin
  โดยสรุปสารกลูต้าไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูต้าไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูต้าไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงนั้น มักจะตรวจพบว่ามีสารกลูต้าไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การรับประทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น?
 *ขนาดรับประทานของแต่ละคนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว(คนรูปร่างใหญ่ก็จะมีเม็ดสีผิวเยอะกว่าคนรูปร่างเล็ก จึงต้องทานมากกว่าคนรูปร่างเล็ก น้ำหนักมากทานมาก น้ำหนักน้อนทานน้อย นั่นเอง)
ขนาดที่รับประทานคือ 20-40 mg/kg/day แบ่งให้ 2-3 ครั้ง ตัวอย่างเช่น ถ้าคนหนัก 50 กิโลกรัม ถ้าจะทานเพื่อให้ผิวขาวจะต้องทานวันละ 1000-2000 mg. ซึ่งดูแล้วก็หนักเอาการไม่น้อยนะค่ะ กับการรับประทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาว เดือนๆนึงก็ตกหลายบาทอยู่เหมือนกันนะคะ
แต่เราก็มีวิธีที่จะประหยัดลงได้ก็คือ ให้รับประทานเพียงวันละ 10 mg/kg/day แล้วให้ทานสาร antioxidize อื่นๆคู่กันด้วย เช่น Vitamin C หรือ Vitamin E ซึ่งหากทานวิตามินซีคู่กับกลูต้าไธโอนจะต้องรับประทานเป็น 2 เท่าของกลูต้าไธโอนค่ะ

ช่วงเวลาไหนในการรับประทานที่จะทำให้กลูต้าไธโอนถูกดูดซึมดีที่สุด ?
  คือ ตอนท้องว่าง ตอนท้องว่าหมายถึงตอนที่ไม่มีอาหารอยู่ในท้องในกระเพาะ เช่น ตอนตื่นนอนใหม่ๆ หรือ ตอนก่อนจะนอน หรือ ก่อนทานอาหารมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือ หลังจากทานอาหารแล้วมากกว่า 1-2 ชั่วโมงขึ้นไปก็ได้เพราะอาหารได้ถูกย่อยหมดแล้ว หากจะทานคู่กับวิตามินซีในตอนท้องว่าก็ได้ค่ะ เพราะวิตามินซีก็ดูดซึมดีที่สุดตอนท้องว่างเหมือนกันค่ะ แต่วิตามินซีมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร แสบท้อง จุกเสียดท้อง มันกัดกระเพาะนั่นเองค่ะ หากต้องทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรือ หากเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว หรือ เริ่มมีอาการดังกล่าวก็ให้เปลี่ยนมากินหลังอาหารแทนค่ะ เฉพาะวิตามินซีนะคะ กลูต้าไธโอนก็ทานตอนท้องว่างเหมือนเดิมค่ะเพราะกลูต้าไธโอนไม่มีผลข้างเคียงไม่กัดกระเพาะค่ะ
  สรุปก็คือ การรับประทานGlutathioneเพื่อให้ผิวขาวขึ้นให้รับประทานตอนท้องว่างวันละ 10 mg/kg/day ควบคู่กับรับประทานสาร antioxidize(วิตามินซี) 2 เท่าของกลูต้าไธโอนนั่นเองค่ะ
เมื่อสรุปตามน้ำหนักตัวจะได้ดังนี้
  สาหรับผู้ที่น้ำหนักไม่เกิน 50 กก. ให้ทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 2 เม็ด คู่กับ 1 เม็ด
ส่วนผู้ที่น้ำหนักตัว 51-75 กก. ก็ควรจะทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 3 เม็ด+วิตามินซี 1เม็ดครึ่ง ถึงสองเม็ด
  ส่วนผู้ที่น้ำหนักตัว 76-100 กก. ก็ควรจะทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 4 เม็ด+วิตามินซี 2 เม็ด

ผิวขาวใสด้วย แอล ซีสทีอีน
 L-Cysteine แอล-ซีสเตอีน เป็นสารประเภท กรดอะมิโน ชนิดหนึ่งที่เป็นสารตั้งต้นในการการสร้าง กลูต้าไธโอนให้กับร่างกายโดย L-Cysteine จะทำงานร่วมกันกับ Glycine และ Glutamic acid ที่มีมากในร่างกายเรา และสารที่จะสั่งให้เกิดการ form พันธะเ ป็นกลูต้าไธโอนได้นั้นคือ กลุ่มVITAMIN C หรือแคลเซี่ยม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) สร้างที่ตับ
ความจริงแล้วร่างกายเราสามารถสร้างกลูตาไธโอนได้เองในตับ จากการที่เรารับประทานเนื้อสัตว์หรือโปรตีนเข้าไปในร่างกาย โดยกลูตาไธโอนเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโนที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ คริสทีอีน(Cysteine) ไกลซีน(Glycine)และ กลูตามิค เอซิด (Glutamic Acid) โดยสารดังกล่าวช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยาฆ่าแมลง โลหะหนัก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร่างกายได้รับ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งได้ร่วมกันซ่อมแซมสารพันธุกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงการเป็นมะเร็งได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส(Tysinase) ไม่ให้สามารถเปลี่ยนเป็นโดปาควินโนน( Dopaquinone) ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง ทำให้มีผิวขาวชั่วคราว

มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เรียบ เนียน เปล่งปลั่ง ฝ้าและ จุดด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน (Bikini line) ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู

1.Detoxification : กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S- transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
2. Antioxidant : กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และ หากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย 2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
4.กลูตาไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin  

กินกลูต้าไธโอน Glutathione ร่างกายไม่สามารถดูซึมได้โดยตรง แต่จะดูดซึมได้ต้องมีการ tri-peptide จะถูกย่อยออกมาเป็นอะมิโน 3 ตัว คือ L-cysteine, L-glutamate และ glycine เพราะมีL-cysteineและมีกลุ่มVITAMIN C หรือแคลเซี่ยม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) ถึงได้ขาวขึ้น

ที่มา อย. Wiki
http://www.boontawee.co.cc



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น